วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ว่าด้วยเรื่องของ
เพศชายและเพศหญิง





คุณเชื่อหรือไม่?

              โดยธรรมชาติของมนุษย์ทั่วไปล้วนแต่สนใจเรื่องด้วยกันแทบทั้งนั้นแต่ไม่ค่อยมีใครกล้าแสดงออกมาเท่าไหร่

           
 เรื่องของเพศและความรักไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ ความรู้สึกและประสบการณ์เพียงเท่านั้นและในปัจจุบันนี้มนุษย์อย่างเราๆสามารถที่จะเข้าใจกลไกของเรื่องนี้ในมุมของทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างลึกซึ้งผลงายวิจัยต่างๆเผยให้เราเห็นว่าอารมณ์ของความรักทั้งความโรแมนติกจนถึงความอีโรติกส่วนหนึ่งเกิดมาจากสารเคมีในร่างกายความหึงหวงเป็นผลพวงของกระบวนการวิวัฒนาการ แต่เป็นที่น่าสงสัยว่ายังคงมีปัญหาและความเข้าใจในเรื่องเพศต่างๆปรากฎให้เห็นเหมือนกันกับว่าวิทยาศาสตร์ไม่มีอยู่ในโลกอย่างนั้นแหละเรื่องที่เราคิดว่าเรารู้ เราเข้าใจดี ก็อาจเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากการบอกเล่าต่อๆกันมาโดยไม่มีที่มาและที่ไปว่าเป็นมาอย่างไรแต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็แล้วแต่ ข้อเท็จจริงหลายๆอย่างถูกเล่ามาแบบปิดบ้างเปิดบ้างจนเป็นภาพที่มองเห็นไม่ชัด
    แต่คราวนี้เราขอนำเสนอและเล่าเรื่องราวต่างอย่างเปิดเผยที่สุดเท่าที่ความสามารถของเราจะทำได้ทั้งความหมายของคำว่าเพศศึกษา และ SEXอาจมีบางเรื่องที่คุณอาจคาดไม่ถึงก็ได้..................


(Sex)เซ็กส์  เพศศึกษา (Sex education)

         เซ็กส์ จริงๆแล้ว หมายถึงเพศ แต่เราเข้าใจผิดๆว่าหมายถึงการมีเพศสัมพันธ์เพศศึกษา หมายถึง การสอนหรือการให้ความรู้ทางเพศ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับ การเจริญเติบโต พัฒนาการและบุคลิกภาพ รวมทั้งสุขปฏิบัติๆ เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ เจตคติที่ดี หรือความรู้สึกที่ดี ในเรื่องธรรมชาติทางเพศ พฤติกรรมทางเพศซึ่งเกี่ยวข้องกับสุขภาพ สวัสดิภาพและมนุษยสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างกัน ทั้งด้านสังคมส่วนตัวและส่วนรวม (นายแพทย์ เสนอ อินทรสุขศรี)โดยอ้างอิงจากหนังสือประกอบการศึกษาเรื่องเพศศึกษานอกจากนี้ยังมีหลายคนที่เข้าใจสับสนระหว่างเพศศึกษาและเพศศาสตร์ว่าเหมือนกันแต่หลายคนก็เข้าใจว่าไม่เหมือนกันเราจึงข้อสรุปไว้ดังนี้



เพศศาสตร์ (Sexology)แตกต่างกับเพศศึกษาตรงที่ เพศศึกษา (Sex Education)นั้นคือ การสอนหรือการให้การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเพศ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับลักษณะทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคมของมนุษย์ และมักใช้สอนกันทั้งโรงเรียนและที่บ้าน แต่เพศศาสตร์ (Sexology)คือ ศาสตร์หรือวิทยาการที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ ซึ่งกล่าวถึงพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ในเรื่องระบบการสืบพันธุ์ โดยวิชาเพศศาสตร์นั้จะมีสอนในโรงเรียนแพทย์หรือสถาบันชั้นสูงในด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์และคงจะไม่มีใครนำมาสอนในโรงเรียนทั่วๆ ไป



วิถีของเพศ

   ทราบหรือไม่ว่าอะไรที่เป็นตัวกำหนดให้เราเป็นเพศชายหรือเพศหญิง  ด้วยความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์ได้ไขปัญหานี้ไว้ว่า เซลล์ไข่ที่มาจากแม่จะมีสารพันธุกรรมที่เราใช้ชื่อว่า โครโมโซม X เสมอ ส่วนสเปริ์มที่มาจากพ่อจะโครโมโซม X บ้าง โครโมโซมY บ้าง จากนั้นก็ขึ้นอยู่จังหวะและเวลา ความสามารถที่สเปริ์มตัวไหนจะวิ่งไปถึงรังไข่และปฏิสนธิได้ก่อน 

    หากสเปริ์มตัวที่มีโครโมโซม X เข้าไปปฏิสนธิกับไข่โครโมโซมจะรวมกันเป็น XX ซึ่งจะเจริญเติบโตต่อไปเป็นเพศหญิง แต่ถ้าโครโมโซม X เข้าไปปฏิสนธิได้โครโมโซมรวมเป็น XY ก็จะเจริญเติบโตไปเป็นเพศชาย




           นี่เเหละเพศหญิง


                   






ตัวอย่างลักษณะหน้าตาภายนอกของเพศหญิง



     ถ้าหากตัวอ่อนในครรถ์มีโครโมโซมเป็น XX เนื้อเหยื่อในตัวอ่อนจะถูกพัฒนาเป็นรังไข่และมีการระบบสืบพันธ์เพศหญิง ฮอร์โมนเพศหญิงที่เราเรียกว่า เอสโตรเจ จะถูกสร้างขึ้นที่รังไข่และเมื่อเข้าสู๋วัยรุ่น(วัยรุ่นจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กย่างอายุประมาณ12-13ปีเพศหญิงจะเข้าสู่วัยรุ่นเร็วกว่าเพศชายประมาณ 2ปี และจะเกิดการพัฒนาไปจนถึงอายุประมาณ18ปี จึงจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่)ฮอร์โมนนี้จะทำให้ร่างกายมีลักษณะเป็นผู้หญิงเต้านมมีขนาดโตขึ้นไขมันที่เพิ่มขึ้นจะทำให้รูปร่างมีทรวดทรง สะโพกผายออก เริ่มมีขนตามรักแร้ อวัยวะสืบพันธื เริ่มมีประจำเดือน(menarche)เป็นเลือดที่เกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก มีฮอร์โมนสองชนิดคือ Estrogen และ Progesteroneควบคุมการสร้างและหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งระดับฮอร์โมนทั้งสองจะมีความสัมพันธ์กับการตกไข่จากรังไข่ โดยแต่ละรอบเดือนจะมีช่วงเวลาประมาณ 26-30วัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ทำให้ประจำเดือน เกิดขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 1ครั้ง การมีประจำเดือนครั้งแรก เป็นสัญญานบอกการเข้าสู่วัยรุ่นในหญิมีลักษณะพิเศษต่างๆ เช่นร่างกายของผู้หญิงจะแปรสารอาหารให้อยู่ในรูปของไขมันทำให้มีสัดส่วนไขมันในร่างกายมากกว่าผู้ชาย มีเซลล์เม็ดเลือดขาวมากกว่าผู้ชาย ทำให้ภูมิคุ้มกันมากกว่าผู้ชายมีความยาวจากหัวไหล่มาข้อศอกมากกว่านิ้วชี้ หรือ มีนิ้วชี้มือยาวกว่านิ้วนางมือเมื่อเรียงนิ้วชิดกัน

ที่สำคัญ ฮอร์โมนเอสโตรเจนยังส่งผลทำให้ผู้หญิงมีนิสัยชอบช๊อปปิ้ง ติดละครทีวีอีกด้วยและขี้ง้อน

 สำหรับผู้ชายที่มีฮอร์โมน(เพศหญิง)เอสโตรเจนมากกว่าปกติจะส่งผลทำให้มีนิสัยบางอย่างคล้ายไปทางผู้หญิงได้แต่ใช่ว่ามีโครโมโซมXXแล้วจะเป็นผู้หญิงเสมอไป เพราะความผิดปกติที่หายากมากอย่างหนึ่งคือ เพศชายที่โครโมโซมXX(XX male syndrome)ซึ่งในคน100,000คนจะปรากฎอาการนี้ราวๆ4คน เท่านั้น อาการของโรคนี้ส่งผลทำให้มีอัณฑะขนาดเล็กและเป็นหมัน
 
นี่แหละเพศชาย


        


ตัวอย่างลักษณะหน้าตาภายนอกของเพศชาย 

  
       หากตัวอ่อนในครรภ์มีโครโมโซมเป็น XY เนื้อเหยื่อในร่างกายจะพัฒนาเป็นอัณฑะและมีการสร้างระบบสืบพันธุ์เพศชาย ฮอร์โมนเพศชายเราเรียกว่า เทสโทสเตอโรน ถูกสร้างที่อัณฑะและความคุมการเกิดลักษณะต่างๆของเพศเพื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม(ปกติแล้วผู้จะเจริญเบโตช้ากว่าผู้ 2ปี) ซึ่งฮอร์โมนเพศชายนี้จะส่งผลให้ผู้ชายมีลักษระร่างกายแบบผู้ชายคือ นมขึ้นพาน(หัวนมโตขึ้นเล็กน้อยกดเจ็บ)เสียงแตกหนวดเครา ขึ้นและเริ่มมีฝันเปียก (nocturnal ejaculation-การหลั่งน้ำอสุจิในขณะหลับและฝันเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ) การเกิดฝันเปียกครั้งแรกเป็นสัญญานของการเข้าสู่วัยรุ่นของเพศชายซึ่งร่างกายของเพศชายนั้นจะแปรสารอาหารเป็นกล้ามเนื้อและพลังานที่ดึงมากลัยใช้ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้แข็งแรงกว่าผู้หญิง และมากกว่านั้น ผู้ชายมีหลอดลมใหญ่และแตกแขนมากกว่า สัดส่วนปริมาณปอดมากกว่า มีต่อมเหงื่อมากกว่าทำให้มีกลิ่นกายที่แรงกายผู้หญิง

เจ้าฮอร์โมนเพศชาย(เทสโทสโตรโรน)ตัวนี้ยังส่งผลทำให้ผู้ชายชอบเอาชนะและการแข่งขันแต่ในบางครั้งก็จะทำให้รู้สึกเครียด วิตกกังวล และหดหู่มากกว่าปกติ 
  ส่วนผู้หญิงที่มีฮอร์โมนเพศชายมากกว่าปกติจะส่งผลให้มีลักษณะคล้ายผู้ชายอย่างเช่น มีขนยาวและดก เสียงแหบห้าว นอกจากนี้โครโมโซม Yทำให้เพศชายมีโอกาศที่จะตาบอดสีมากกว่าผู้หญิงถึง 16เท่า
   นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโดยธรรมชาติของเพศหญิงในอดีตที่ผ่านๆมาต้องดูแลทำความสะอาด ดูแลบ้าน หุงหาอาหาร ทำให้ต้องใช้สายตามากกว่าผู้ในการคอยดูแลความสะอาดของบ้านส่วนผู้ชายด้วยสภาพร่างกายที่แข็งแรงกว่าทำให้ธรรมชาติต้องออกล่าเหยื่อจนพัฒนาให้มีสายตายาวมากกว่าผู้หญิงและชอบการแข่งขัน การใช้กำลัง
  ทั้งสองเพศจะมีการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะเพศซึ่งจะมีขนาดโตขึ้น และเปลี่ยนเป็นแบบผู้ใหญ่มีขนขึ้นบริเวณอวัยวะเพศมีกลิ่นตัวมีสิวขึ้น 

            

 



           สาเหตุที่นำเรื่องนี้มานำเสนอเพราะได้พบงานวิจัยเล่มหนึ่งและสงสารวัยรุ่นไทยมากๆวิจัยเรื่องนั้นคือ เรื่องคำถามเกี่ยวกับเรื่องเพสของวัยรุ่นไทยที่มีในปัจจุบันซึ่งส่วนใหญ่ผู้หญิงจะสนใจเรื่องเพศมากกว่าผู้ชาย







      แต่ที่น่าสงสัยและน่าเป็นห่วงคือวัยรุ่นไทยมีความรู้เรื่องเพศน้อยมากจนน่าตกใจ เรามีตัวอย่างการวิจัยมาเป็นข้อมูลด้วยจากนิตยสารเพนเฮ้าส์ ระบุว่า ข้อมูลชี้ ผู้หญิงอยากรู้เรื่องอย่างว่ามากกว่าผู้ชาย..........

ไม่ว่าจะพยายามสงวนไว้ในพื้นที่ส่วนตัวมากแค่ไหนแต่ว่า เรื่อง เซ็กส์ก็มีการนำเสนออย่างแพร่หลายในสื่อต่างๆโดยเฉาะสื่ออนไลน์ที่ผู้ปกครองมักจะเข้าไปดูแลได้ไม่ทัวถึง เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศอย่างถูกต้อง เมื่อไม่รู้ก็ต้องถาม ถาม
จากรายงานการวิจัยเรื่อง คำถามยอดฮิต ในคอลัมน์ถามตอบเรื่องเพศศึกษาย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2546-2550 ในสื่อ 3 ประเภท หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และอินเตอร์เน็ต จำนวน 6 สื่อ รวบรวมคำถามได้ทั้งหมด 4,409 ข้อ คำถามที่พบมากที่สุดคือ เพศสัมพันธ์ ร้อยละ 25 อนามัยเจริญพันธุ์ ร้อยละ 18 อวัยวะเพศหญิง ร้อยละ 18 ความสวยความงาม ร้อยละ 16 และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ร้อยละ 5
น.ส.ญาณาธร เจียรรัตนกุล ผู้วิจัย บอกว่า หลักฐานการสอบถามปัญหาเพศผ่านสื่อเริ่มในปี 2431 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งตลอด 120 ปีที่ผ่านมา แนวคำถามจะวนเวียนอยู่ในปัญหาเดิมๆ สะท้อนว่า ประชาชนไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องเพศที่ถูกต้อง และจากการวิจัยพบว่า ผู้หญิงเข้ามาสื่อสารในคอลัมน์ถามตอบเรื่องเพศ มากกว่าผู้ชายถึงร้อยละ 69 ในขณะที่ผู้ชายเข้ามาสื่อสารร้อยละ 31
ผู้หญิง ยังมีความรู้น้อยมาก ยกตัวอย่างคำถามเรื่องคุมกำเนิด วัยรุ่นผู้หญิงคนหนึ่งเขียนจดหมายเข้ามาถามว่า หากมีเพศสัมพันธ์กับแฟน แล้วให้แฟนกินยาคุม จะท้องไหม เป็นคำถามที่บ่งบอกว่าเธอไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้เลยญาณาธรแจกแจง
เหตุผล ที่เป็นเช่นนี้ ผู้วิจัยบอกว่า มาจากระบบความเชื่อผิดๆ ของสังคมไทย ที่ตั้งบรรทัดฐานไว้ว่า ผู้หญิงที่พูดเรื่องเพศได้ ต้องแต่งงานแล้ว หรือเป็นผู้หญิงขายบริการเท่านั้น จึงยังเป็นปัญหาให้ผู้หญิงไม่กล้าสอบถามจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เพราะรู้สึกกระดากปาก และอายที่จะแสดงตัวตน จึงต้องแอบซ่อนหาความรู้ผ่านสื่อต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และอินเตอร์เน็ต ลองมาอ่านกันดีกว่า คนอยากรู้อะไรในเรื่องอย่างว่าบ้าง
เริ่มที่ ผู้หญิงเรื่องที่อยากรู้มากที่สุด อวัยวะเพศหญิงมักถามข้อข้องใจเรื่อง ประจำเดือน (34%) ตกขาว (20%) มะเร็ง-พังผืด-ซีสต์-เนื้องอก-ฮอร์โมน (16%) รองลงมาคือ อนามัยเจริญพันธุ์ถามมากที่สุด คือ วิธีการคุมกำเนิด (43%) การตั้งครรภ์-การคลอด (25%) และภาวะมีบุตรยาก (19%)

อีกหัวข้อคำถามที่ผู้หญิงสนใจ เป็นเรื่อง สังคมและวัฒนธรรมจะถามเรื่อง ความเหมาะสม/ดอกฟ้ากับหมาวัด (24%) การมีคู่มากกว่า 1 คน (21%) พรหมจรรย์ (15%) และเขารักเราไหม (15%) อีกประเด็นเป็นคำถาม ความรุนแรงมีทั้งข่มขืน (62%) เพศพาณิชย์ (23%) และการใช้กำลังทำร้ายร่างกาย (15%) ปิดท้าย ความสวยความงามคำถามส่วนใหญ่มีทั้งเรื่องอ้วน/ผอม (50%) ไม่พอใจในรูปร่าง (24%) และสิว/ฝ้า/หน้ามัน (11%)
สำหรับ ผู้ชายคำถามยอดฮิตคือ อวัยวะเพศชายเรื่องที่พวกเขาอยากรู้ที่สุด คือเรื่องของขนาดใหญ่ หรือเล็ก / การฝังมุก (38%) การขริบ (33%) และรูปร่าง (19%) นอกจากนี้ยังถามเรื่อง การช่วยตัวเองโดยส่วนใหญ่จะถามเรื่องผลกระทบ, วิธีการ และปริมาณที่เหมาะสม
ส่วนข้อสงสัยที่ทั้ง ผู้หญิง-ผู้ชายข้องใจเหมือนกัน อันดับแรกคือ เพศสัมพันธ์โดยผู้ชายจะให้ความสำคัญกับเรื่องสมรรถภาพเป็นหลัก (43%) ในขณะที่ผู้หญิงเน้นเรื่องผลข้างเคียงจากการมีเพศสัมพันธ์ (22%) อันดับต่อมาคือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มักอยากรู้ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (52%) และโรคเอดส์ (48%)
ปิดท้าย เป็นคำถามจากกลุ่มเพศที่ 3 ประเด็น อัตลักษณ์ทางเพศ” (ความหลากหลายทางเพศ) ส่วนใหญ่จะเป็นคำถามเกี่ยวกับกลุ่มชายรักชาย (52%) หญิงรักหญิง (32%) และรักสองเพศ (13%)

ญา ณาธรบอกว่า สังคมไทยอาจคิดว่าสื่อไขปัญหาเพศเป็นเรื่องไม่งาม แต่ถ้ามองในมุมกลับ ในสังคมที่ยังไม่เปิดกว้างเรื่องนี้ และไม่มีข้อมูลความรู้ให้ประชาชนศึกษาอย่างเพียงพอ สื่อประเภทนี้มีประโยชน์ เพราะเป็นช่องทางระบายให้กับผู้ที่มีปัญหา และไม่สะดวกใจจะถามแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
อยาก ให้สังคมไทยเปลี่ยนทัศนคติเรื่องเพศใหม่ เปิดกว้างมากขึ้น ขีดเส้นแบ่งระหว่างลามกอนาจารกับสุขภาพ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เพศสัมพันธ์ แต่เป็นเรื่องสุขภาพทั้งหมดของมนุษย์ญาณาธรย้ำ



                                                                                                                 





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น